นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บริทาเนีย ( BRI ) เปิดเผยว่า บริษัทวางเป้าหมายยอดขายปี 65 ไว้ที่ 1.1 หมื่ล้านบาท หรือเติบโตกว่า 30% จากปีก่อนที่มียอดขาย 8.37 พันล้านบาท โดยวางแผนเปิดโครงการแนวราบใหม่แบบเชิงรุกจำนวน 12 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.34 หมื่นล้านบาท

โครงการใหม่ในปี 65 ส่วนใหญ่จะเป็นการเปิดแบรนด์ BRITANIA ระดับราคา 4-8 ล้านบาท หลังจากที่ในปี 64 บริษัทมีการเปิดบ้านแบรนด์บ้านหรู คือ GRAND BRITANIA ไปมากแล้ว โดยปีนี้บริษัทจะหันมาเน้นการสร้างฐานลูกค้าที่ Mass มากขึ้น เพื่อทำให้แบรนด์ของบริษัทเป็นที่รู้จักมากขึ้น

ขณะเดียวกันบริษัทยังรุกพัฒนาโครงการในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นทั้งในขอนแก่น อยุธยา รวมถึงระยอง ซึ่งยังคงเน้นจังหวัดที่มีศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ จำนวนประชากรและความต้องการที่อยู่อาศัย เพื่อยกระดับการใช้ชีวิตแก่คนในพื้นที่ และขยายพื้นที่ในต่างจังหวัดทำให้บริษัทสามารถสร้างฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น รวมถึงการขยายทำเลการพัฒนาโครงการแนวราบในกรุงเทพฯและปริมณฑลให้ครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ โดยจะเปิดตัวโครงการใหม่ทุกๆไตรมาสอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ในช่วงเดือน ม.ค.65 ที่ผ่านมาบริษัทสามารถทำยอดขายได้แล้ว 1.15 พันล้านบาท

ส่วนเป้าหมายยอดโอนในปี 65 บริษัทตั้งไว้ที่ 7.25 พันล้านบาท โดย ณ สิ้นปี 64 มีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ราว 1.2 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยโอนเข้ามาในปีนี้ทั้งหมด

ขณะที่บริษัทได้วางแผนล่วงหน้าเพื่อรับมือกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เช่น การเจรจาล็อกราคาวัสดุก่อสร้างกับพันธมิตร การเพิ่มประสิทธิภาพบริหารค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร เพื่อลดผลกระทบจากการปรับราคาที่อยู่อาศัย และทำให้บริษัทยังมีความสามารถในการทำกำไรในระดับที่ดีต่อเนื่อง สำหรับโครงการบ้านแนวราบที่อยู่ระหว่างการขายในปี 65 มีจำนวนอยู่ทั้งสิ้น 20 โครงการ มูลค่ารวม 2.25 หมื่นล้านบาท

ด้านแนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบในปี 65 คาดว่าจะเป็นปีแห่งการฟื้นตัวและเติบโตได้ดี เนื่องจากเริ่มเห็นสัญญาณบวกในช่วงปลายปีที่ผ่านมา หลังจากรัฐบาลเริ่มเปิดประเทศ การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ การกระจายวัคซีนที่ทำได้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ผ่อนปรนหลักเกณฑ์ LTV เป็นการชั่วคราว สามารถปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยรวมกับสินเชื่อที่เกี่ยวเนื่องได้ 100% ของมูลค่าหลักประกัน ส่งผลดีต่อการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์และความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดบ้านแนวราบ และส่งผลดีต่ออัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่จะดีขึ้น ซึ่งลูกค้าของบริษัทมีอัตราปฏิเสธสินเชื่ออยู่ที่เฉลี่ย 30%

นางศุภลักษณ์ กล่าวอีกว่า บริษัทยังมุ่งดำเนินธุรกิจภายใต้คอนเซปต์ Growth Together ทั้งการขยายตลาดสู่ทำเลใหม่ๆที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะในจังหวัดภูมิภาคทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออกและภาคกลางที่มีศักยภาพเติบโตสูง การร่วมทุนกับพันธมิตร (JV) การปรับตัวสู่ดิจิทัล แพลตฟอร์ม การพัฒนาระบบนิเวศน์ (Eco System) การให้คำแนะนำและสนับสนุน (Coaching & Support) เพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพให้กับทุกภาคส่วน ทั้งลูกค้า พันธมิตร พาร์ทเนอร์และพนักงานของบริษัทส่งต่อองค์ความรู้ที่จะเพิ่มศักยภาพและปรับตัวรับยุค Next Normal เพื่อร่วมมือกับทุกภาคส่วนเติบโตอย่างมั่นคง

“เราจะร่วมมือกับพันธมิตรตอกย้ำ ?ผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัย? โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาปรับใช้เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต โดยการนำพลังงานทางเลือกเข้ามาใช้เพิ่มเติม ได้แก่ การพัฒนา Solar Roof Top (แผงหลังคาโซลาร์เซลล์) และ EV Charger (สถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า) จะเริ่มนำร่องทดลองใช้พื้นที่ส่วนกลาง อาคารสโมสร ของบ้านภายใต้แบรนด์ ?แกรนด์ บริทาเนีย? เพื่อดูผลตอบรับก่อนขยายการติดตั้งไปยังพื้นที่หรือบ้านในแบรนด์อื่นๆ นอกจากนี้บริษัทฯ มีนโยบายการบริการหลังการขายแก่ลูกบ้านตลอดช่วงอายุการพักอาศัย (Long-Life Living After Sale Service) ครอบคลุมทั้งภายในและหลังระยะเวลาประกัน เช่น รับประกันคุณภาพโครงสร้างบ้าน 5 ปีนับจากวันที่โอนกรรมสิทธิ์, ให้คำปรึกษาและอำนวยความสะดวกการขอสินเชื่อกับสถาบันการเงิน, การแจ้งซ่อมและติดตามสถานะผ่าน Mobile Application Britania Connect” นางศุภลักษณ์ กล่าว

นายสุรินทร์ สหชาติโภคานันท์ ประธานอำนวยการ BRI กล่าวว่า ปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญกับเทรนด์ความยั่งยืน ผู้ประกอบการในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จึงต้องปรับตัวเพื่อตอบสนองเทรนด์ดังกล่าว โดยเฉพาะในช่วงที่ยังมีการระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคใช้เวลาอยู่บ้านเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะบ้านแนวราบที่มีความปลอดภัย สุขอนามัยที่ดี ใช้ชีวิตสะดวกสบาย ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย นอกจากนี้ยังต้องออกแบบและนำเสนอนวัตกรรมรองรับการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุภายใต้แนวคิด Universal Design เพื่อให้คนทุกวัยสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างลงตัว เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยมีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป 20% ของประชากรทั้งหมด ถือว่าเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์แล้วในปีนี้

บริษัทได้ศึกษาวิเคราะห์ความต้องของผู้อยู่อาศัย (Human Centric) และนำมาพัฒนาแบบบ้านรุ่นใหม่ที่ตอบสนองการใช้พื้นที่ร่วมกันของสมาชิก ทำให้เกิดพื้นที่เปิดโล่งและต่อเชื่อมกัน (Open Space Plan) โดยออกแบบพื้นที่บริเวณหน้าบ้านซึ่งเชื่อมต่อกับพื้นที่สวนหน้าบ้าน (Pocket Garden) สามารถตกแต่งเป็นห้องนอนที่ 4 รองรับผู้สูงอายุ หรือปรับเป็นห้องทำงาน ส่วนห้องนอนชั้น 2 ทุกห้องจะมีความกว้างไม่ต่ำกว่า 3 เมตร เพื่อขยายพื้นที่ให้กว้างขึ้น แต่ยังคงเอกลักษณ์ที่โดดเด่นในแบบฉบับ “บ้านบริทาเนีย” เน้นการออกแบบทรงหน้าจั่ว English Gable เพื่อให้เกิดภาพจำและเสริมความโมเดิร์นรองรับความเป็นคนรุ่นใหม่